ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ หลังจากทรุดตัวลงกว่า 500 จุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
ในบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ซึ่งได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 นั้น บริษัทจำนวน 80% รายงานตัวเลขกำไรสูงกว่าคาดการณ์ ขณะที่ 81% รายงานตัวเลขรายได้ที่สูงกว่าคาด ขณะที่ผลการสำรวจระบุว่า บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.4% ในไตรมาส 4
ณ เวลา 21.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,291.64 จุด เพิ่มขึ้น 214.75 จุด หรือ 0.82%
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
ตลาดการเงินได้เพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และจากระดับ 10% ในเดือนที่แล้ว
ราคาหุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 6% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ หลังเปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไรที่ระดับ 3.06 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 2.54 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไรที่ระดับ 2.89 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขข้อมูลการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาด
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 234,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง และใกล้เคียงกับระดับ 250,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ภาคบริการมีการจ้างงานพุ่งขึ้น 212,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 12,000 ตำแหน่ง และภาคก่อสร้างมีการจ้างงาน 9,000 ตำแหน่ง
นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ โดยคาดว่าเฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา