ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวลงในวันนี้ ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน ซึ่งส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวแรงระหว่างแดนบวกและลบ โดยมีการปรับตัวในช่วงกว้างกว่า 900 จุด
ณ เวลา 22.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,280.91 จุด ลดลง 64.84 จุด หรือ 0.27%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นแอปเปิลทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวลงในวันนี้ ได้ช่วยคลายความวิตกต่อนักลงทุน หลังจากที่ได้ทะยานขึ้นก่อนหน้านี้จนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.722% ในวันนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.023%
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นเหนือระดับ 3% แตะ 3.074% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ทะยานขึ้นแตะ 2.83% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงหนักเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าเทขายหุ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ ท่ามกลางความตื่นตระหนกต่อกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ หลังจากตัวเลขจ้างงานและค่าแรงในสหรัฐขยายตัวมากกว่าคาด
การดิ่งลง 4.6% ของดัชนีดาวโจนส์เมื่อวานนี้ ถือเป็นการร่วงลงมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์นับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.2554 และการทรุดตัวลง 1,175.21 จุด ถือเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดเมื่อคิดเป็นจุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ขณะเดียวกัน หลักทรัพย์จำนวน 6,986 หลักทรัพย์ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดในแดนลบเมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2559
นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีททะลักมากถึง 1.15 หมื่นล้านหุ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559
มูลค่าตลาดของหุ้นสหรัฐวูบหายไปมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 วันทำการแรกในเดือนก.พ.
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 6.2% ในเดือนนี้ หลังจากที่ปิดตลาดเมื่อวานนี้ ขณะที่มูลค่าตลาดหายไปราว 1.6 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.
หุ้นขนาดใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีท เช่น อัลฟาเบท, เวลส์ ฟาร์โก, เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์, แอปเปิล, ไมโครซอฟท์ และเอ็กซอน โมบิล เป็นหุ้นที่ทรุดตัวลงมากที่สุด โดยมูลค่าตลาดของหุ้นแต่ละบริษัทวูบหายไปอย่างน้อย 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดของอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิ้ล ลดลงมากกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ทางด้านเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไร และรายได้พุ่งขึ้นเกินคาดในไตรมาส 4
ทั้งนี้ GM เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 1.65 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.38 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ บริษัทระบุรายได้ที่ระดับ 3.77 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.655 หมื่นล้านดอลลาร์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 5.3% ในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 5.31 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 หลังจากที่ขาดดุล 5.04 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐจะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.20 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2560 สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 12.1% สู่ระดับ 5.66 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551