ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (20 ก.พ.) โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นวอลมาร์ทที่ดิ่งลงกว่า 10% หลังจากบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่รายนี้ได้เปิดเผยกำไรไตรมาส 4/2560 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลง ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนม.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,964.75 จุด ลดลง 254.63 จุด หรือ -1.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,716.26 จุด ลดลง 15.96 จุด หรือ -0.58% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 7,234.31 จุด ลดลง 5.16 จุด หรือ -0.07%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ หลังจากหุ้นวอลมาร์ทดิ่งลง 10.2% จากการที่บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 1.33 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.37 ดอลลาร์/หุ้น แม้รายได้โดยรวมของบริษัทอยู่ที่ 1.3627 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.3493 แสนล้านดอลลาร์ก็ตาม
การร่วงลงอย่างหนักของหุ้นวอลมาร์ทได้ฉุดหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นทาร์เก็ต ดิ่งลง 3% และหุ้นโครเกอร์ ร่วงลง 4.2% อย่างไรก็ตาม หุ้นอเมซอน ดีดตัวขึ้น 1.4%
หุ้นธนาคารเอชเอสบีซี ดิ่งลง 3.4% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีในปี 2560 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.23 หมื่นล้านปอนด์) แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นผลมาจากการล้มละลายของบริษัทลูกหนี้รายใหญ่ 2 ราย ได้แก่บริษัทคาริลเลียน และบริษัทสเตนฮอฟฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล
หุ้นโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ปิดตลาดขยับลง 0.03% หลังจากราคาหุ้นดังกล่าวทะยานขึ้นในระหว่างวัน จากการที่บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2560 อยู่ที่ 1.69 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.61 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.37 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.904% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.152% เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเอกชนปรับตัวขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้น นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังลดความน่าดึงดูดในตลาดหุ้นเช่นกัน
นักลงทุนจับตากระทรวงการคลังสหรัฐซึ่งจะเปิดประมูลพันธบัตรประเภทอายุ 5 ปี วงเงิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และประเภทอายุ 7 ปี วงเงิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ หลังจากก่อนหน้านี้ทางกระทรวงได้เปิดประมูลพันธบัตรประเภทอายุ 2 ปี วงเงิน 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีอัตราส่วนความต้องการประมูลพันธบัตรมากกว่าปริมาณพันธบัตร (bid to cover ratio) สูงถึง 2.72 เท่า
ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 30-31 ม.ค.ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์