ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.พ.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงต่อสภาคองเกรสสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนายพาวเวลส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,410.03 จุด ร่วงลง 299.24 จุด หรือ -1.16% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,330.35 จุด ลดลง 91.11 จุด หรือ -1.23% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,744.28 จุด ลดลง 35.32 จุด หรือ -1.27%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากนายพาวเวลได้กล่าวตอบข้อซักถามจากคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยนายพาวเวลระบุว่า เฟดมีแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอาจมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นเป็น 4 ครั้ง หลังจากมีการใช้มาตรการด้านการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล
นายพาวเวลยังได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อภาวะเศรษฐกิจของสหัฐ โดยระบุว่าตลาดแรงงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ค่าจ้างมีการเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งตัว นอกจากนี้ นายพาวเวลเชื่อว่า เงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ โดยจะมีเสถียรภาพที่ระดับ 2% ในระยะกลาง
ถ้อยแถลงของนายพาวเวลส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.923% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.194% เมื่อคืนนี้ โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเอกชนปรับตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังลดความน่าดึงดูดในตลาดหุ้นเช่นกัน
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ดิ่งลง 3.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวลง 1.5%% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 1.1% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 1.15%
หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 7.4% ขณะที่หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ดิ่งลง 3% หลังจากมีรายงานว่า คอมแคสต์เสนอวงเงิน 2.2 หมื่นล้านปอนด์ (3.1 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อซื้อกิจการของสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป โดยวงเงินดังกล่าวสูงกว่าที่บริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เสนอที่ระดับ 1.85 หมื่นล้านปอนด์ (2.58 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนธ.ค.2559 เพื่อซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือของบริษัทสกายจำนวน 61% ที่ฟ็อกซ์ยังไม่ได้ถือครอง
หุ้นฟิทบิท ผู้ผลิตสายรัดข้อมือที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดชีพจรและการเผาผลาญแคลอรี ร่วงลง 12% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของวอลล์สตรีท
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 6.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 6.1% ในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และภาวะสต็อกบ้านในระดับต่ำ
ขณะที่ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทะยานขึ้นสู่ระดับ 130.80 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 จากระดับ 124.30 ในเดือนม.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2560 (ประมาณการครั้งที่ 2), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนม.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนม.ค.