ดาวโจนส์พลิกดิ่งกว่า 100 จุด นักลงทุนตื่นข่าว"แกรี่ โคห์น"ไขก๊อกตำแหน่งที่ปรึกษา"ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 7, 2018 00:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พลิกดิ่งลงกว่า 100 จุดในวันนี้ หลังพุ่งขึ้นในช่วงแรก โดยนักลงทุนพากันเทขายหุ้น หลังมีข่าวว่า นายแกรี่ โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว จะลาออกจากตำแหน่ง ถ้าหากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม

ณ เวลา 00.03 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,772.82 จุด ลดลง 101.94 จุด หรือ 0.41%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์เชื่อว่า นายโคห์นจะลาออกจากตำแหน่ง ถ้าหากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม

ทั้งนี้ นายโคห์นถือเป็นที่ปรึกษาที่น่าเชื่อถือสำหรับปธน.ทรัมป์สำหรับการให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจและตลาด

นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ปธน.ทรัมป์ยืนยันวานนี้ว่า เขาจะไม่ถอยหลังจากการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว แต่การที่จะดำเนินการเก็บภาษีจริงอาจจะยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนในขณะนี้ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวกำลังเผชิญกับเสียงต่อต้านจากแวดวงนักการเมืองและนักการทูต

ปธน.ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% เพื่อที่จะปกป้องภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ

ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า เขาต้องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่บางคนในทำเนียบขาว พร้อมกับโต้ข่าวลือที่ว่ามีความสับสนวุ่นวายในคณะทำงานของทำเนียบขาว

"มีข่าวลวงใหม่ๆเกิดขึ้นมาว่า มีความวุ่นวายในทำเนียบขาว ไม่ใช่เลย เจ้าหน้าที่มักจะมาแล้วก็ไป และผมต้องการที่จะมีการหารือกันก่อนที่จะทำการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ผมยังคงต้องการปรับตำแหน่งของคนบางคน (ผมเป็นคนที่มักต้องการความสมบูรณ์แบบ) ไม่มีความวุ่นวาย มีแต่พลังงานที่ยิ่งใหญ่" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ดาวโจนส์พุ่งขึ้นในช่วงแรก ขานรับรายงานข่าวที่ว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เตรียมจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเป็นครั้งแรกรอบกว่า 10 ปีในเดือนหน้า

นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังส่งสัญญาณยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ ตราบใดที่ไม่มีภัยคุกคามทางทหารต่อเกาหลีเหนือ

ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีในปลายเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นการพบปะกันเป็นครั้งแรกระหว่างนาย คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้

การประชุมสุดยอดดังกล่าวจะมีขึ้นที่หมู่บ้านปันมูนจอมในเขตปลอดทหารที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้

นอกจากนี้ เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะมีการจัดตั้งสายด่วนฮอตไลน์ระหว่างผู้นำทั้งสอง หลังจากที่เกาหลีเหนือตัดสายด่วนดังกล่าวก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี

ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ดังกล่าว หลังจากที่คณะผู้แทนพิเศษของเกาหลีใต้เดินทางกลับจากการเยือนเกาหลีเหนือซึ่งพวกเขาได้เข้าพบนายคิม จอง อึน และมีการสนทนาหารือกันนานกว่า 4 ชั่วโมงเมื่อวานนี้

นายชุง อุย ยอง ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะผู้แทนพิเศษดังกล่าว กล่าวว่า เกาหลีเหนือระบุว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาโครงการนิวเคลียร์ไว้ ตราบใดที่ไม่มีภัยคุกคามทางทหารต่อเกาหลีเหนือ และระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือยังคงมีความปลอดภัย

นายชุงยังกล่าวว่า เกาหลีเหนือพร้อมเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ โดยเกาหลีเหนือจะระงับการดำเนินการด้านนิวเคลียร์ และขีปนาวุธในระหว่างที่การเจรจายังคงดำเนินไป

นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก, นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส และนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในผู้ว่าการของเฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวในวันนี้ว่า เขาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ จะทำให้สหรัฐมีโอกาสดีที่สุดในการผลักดันเศรษฐกิจให้คืบหน้าต่อไป

"เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และผมคิดว่าเฟดควรรีบปรับขึ้น มากกว่าที่จะปล่อยให้ล่าช้าออกไป" เขากล่าว

CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.

นายแคปแลนระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องถือว่ามีความจำเป็น ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 4.1% ในขณะนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะการจ้างงานเต็มศักยภาพ

"เราคิดว่าอัตราการว่างงานจะปรับตัวลงสู่ช่วง 3% ในปีนี้ ขณะที่การจ้างงานเต็มศักยภาพในขณะนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีคนจำนวนมากขึ้นที่มีงานทำ แต่ก็จะทำให้เกิดแรงกดดันมากขึ้น" นายแคปแลนกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ