ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม แต่ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก พร้อมส่งสัญญาณเปิดทางให้ประเทศอื่นๆสามารถเจรจากับสหรัฐเพื่อขอการยกเว้นภาษีดังกล่าวได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,895.21 จุด เพิ่มขึ้น 93.85 จุด หรือ +0.38% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,738.97 จุด เพิ่มขึ้น 12.17 จุด หรือ +0.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,427.95 จุด เพิ่มขึ้น 31.30 จุด หรือ +0.42%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% จากประเทศต่างๆ ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 15 วัน
นอกเหนือจากการยกเว้นภาษีให้กับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) แล้ว ปธน.ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่าอาจจะยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ หากประเทศเหล่านี้เจรจาและสามารถตกลงกับสหรัฐได้ว่าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ
หุ้นเอ็กซ์เพรส สคริปส์ โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 8.6% หลังจากซิกนา คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพ ประกาศแผนเข้าซื้อกิจการของเอ็กซ์เพรส สคริปส์ โฮลดิ้งส์ ในวงเงิน 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นซิกนา คอร์ป ร่วงลง 12%
หุ้นเรนท์-เอ-เซ็นเตอร์ พุ่งขึ้น 10% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งรวมถึงการตัดขายธุรกิจและการเลย์ออฟพนักงาน
หุ้นโครเกอร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 13% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าคาด
ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเหล็กและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง โดยหุ้นยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล ดิ่งลง 2.9% หุ้นเอเค สตีล โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 4% หุ้นนูคอร์ คอร์ป ร่วงลง 2.7% และหุ้นเซ็นจูรี อลูมิเนียม ร่วงลง 7.5%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 21,000 ราย สู่ระดับ 231,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากดิ่งลงแตะระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ภาคครัวเรือนชาวอเมริกันมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2560 โดยได้แรงหนุนจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น และการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น โดยคาดว่าความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ เฟดระบุว่า ภาคครัวเรือนของชาวอเมริกันมีมูลค่าสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 98.7 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 หลังจากแตะระดับ 96.7 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ขณะที่มูลค่าบ้านทะยานขึ้น 5 แสนล้านดอลลาร์ และมูลค่าพอร์ทฟอลิโอของหุ้นเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.พ.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.พ.จะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง