ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 200 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขาจะยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งจากการที่ตลาดคลายวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี
ณ เวลา 22.22 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,106.15 จุด เพิ่มขึ้น 210.94 จุด หรือ 0.85%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ตามราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น ขณะที่หุ้นอินเทลดีดตัวขึ้นมากที่สุด
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันนี้ หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 วัน โดยตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่แข็งแกร่ง และการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี
ณ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.6% สู่ระดับ 61.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 239,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนก.พ. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 287,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,000 ตำแหน่ง
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นที่ระดับ 63%
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขาจะยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งจากการที่ตลาดคลายวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% และส่งสัญญาณยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดสงครามการค้า
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ตกลงที่จะพบปะกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ภายในเดือนพ.ค. ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี
นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน และนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด สาขาชิคาโก เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
นายอีแวนส์กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะรอต่อไปหลังเดือนมี.ค. และบางทีจนกว่ากลางปีนี้ ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี นายอีแวนส์กล่าวว่า ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้เฟดต้องเพิ่มความระมัดระวัง
นายอีแวนส์ระบุว่า เขายังคงกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงกลางปี ก็อาจจะทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2, 3 หรือ 4 ครั้งภายในสิ้นปีนี้