ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงกว่า 100 จุด โดยถูกกระทบจากหุ้นโบอิ้งที่ดิ่งลงมากกว่า 2%
ณ เวลา 22.09 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,234.31 จุด ลดลง 101.43 จุด หรือ 0.40%
ดาวโจนส์ดีดตัวกว่า 100 จุดในช่วงแรก ต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ทะยานขึ้นกว่า 400 จุด หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
เมื่อวันศุกร์ สหรัฐเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นเกินคาด แต่ค่าจ้างปรับขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทำให้ไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนก.พ.เป็นตัวเลขสมบูรณ์แบบที่ดีที่สุดสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยพุ่งขึ้น 313,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นเพียง 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% สู่ระดับ 26.75 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี โดยต่ำกว่าระดับ 2.9% ในเดือนม.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงาน 313,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ถือเป็นจุดหักเหของเศรษฐกิจ ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทต่างๆมีการจ้างงานมากพอที่จะช่วยนำคนว่างงานในระยะยาวเข้าสู่ตลาดแรงงาน
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของค่าจ้างที่ระดับ 0.15% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ ก็ได้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น หลังจากที่การทะยานขึ้นของค่าจ้างในเดือนม.ค.ได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้น และฉุดให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลง
ทางด้านสัญญาฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังการเปิดเผยรายงานจ้างงานดังกล่าว แต่ไม่ได้ดีดตัวมากจนบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.