ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลง และดัชนีภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์กซึ่งขยายตัวได้ดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,873.66 จุด พุ่งขึ้น 115.54 จุด หรือ +0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,747.33 จุด ลดลง 2.15 จุด, -0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,481.74 จุด ลดลง 15.07 จุด หรือ -0.20%
ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 226,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 158 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์นั้น ลดลง 750 ราย สู่ระดับ 221,500 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้น 9.0 จุด สู่ระดับ 22.5 จุดในเดือนมี.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 15 จุด
ทั้งนี้ ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่
หุ้นอาลีบาบาซึ่งมีการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากสื่อรายงานว่า อาลีบาบามีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน โดยคาดว่าการจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน หากทางการจีนมีการปรับกฎระเบียบที่เอื้อต่อการจดทะเบียนของบริษัทต่างชาติ
หุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล ซึ่งเป็นหนึ่งในห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ดีเกินคาดในไตรมาส 4/2560 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้
หุ้นโบอิ้ง ขยับลง 0.1% หลังจากที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระหว่างวัน ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า บริษัทโบอิ้งอาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันให้จีนปรับลดยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 1 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน