ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 700 จุดเมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อการลงโทษจีนที่ได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐ โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 724.42 จุด หรือ -2.93 ปิดที่ 23,957.89 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่วันที่ 8 ก.พ.ปีนี้ ส่วนดัชนี S&P500 ลดลง 68.24 จุด หรือ -2.52% ปิดที่ 2,643.69 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. และดัชนี Nasdaq ลดลง 178.61 จุด หรือ -2.43% ปิดที่ 7,166.68 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวานนี้ เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นการลงโทษจีนที่ได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐ ขณะเดียวกันปธน.ทรัมป์เชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้สหรัฐแข็งแกร่ง และมั่งคั่งขึ้น
ทั้งนี้ การออกมาตรการเรียกเก็บภาษีของปธน.ทรัมป์มีขึ้นหลังจากที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ทำการสอบสวนตามมาตรา 301 ต่อพฤติกรรมการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน โดยสินค้าของจีนที่ตกเป็นเป้าหมายในการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐ เป็นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่จีนมีข้อได้เปรียบเหนือสหรัฐ
ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาส่งสัญญาณเมื่อวานนี้ว่า จีนจะไม่ยอมนิ่งเฉย และจะใช้มาตรการที่จำเป็นทุกด้าน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมกับแสดงท่าทีต่อต้านนโยบายกีดกันการค้าของปธน.ทรัมป์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นอกเหนือจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนแล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโยกย้ายตำแหน่งในคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างต่อเนื่องของหุ้นเฟซบุ๊ก ยังได้ฉุดหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงด้วย
หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.8% หลังจากนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอบริษัทเฟซบุ๊ก ได้ออกมายอมรับความผิดพลาดในกรณีการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้บริการของเฟซบุ๊กจำนวน 50 ล้านคน ขณะที่หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลงกว่า 4% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 3.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.9% และหุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 1.4%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากความกังวลที่ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรม โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 5.2% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 5.7% หุ้น 3M ลดลง 3.2%
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 3.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 4.2% ส่วนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา หุ้นซิตี้กรุ๊ป หุ้นเวลส์ ฟาร์โต ต่างก็ร่วงลงราว 4.1%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนมี.ค. อยู่ที่ 55.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือน จากระดับ 55.3 ในเดือนก.พ. และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 54.1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.9 ในเดือนก.พ. ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ราย
นักลงทุนจับตาการโหวตร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว และได้ส่งต่อไปยังวุฒิสภาเพื่อทำการพิจารณาต่อไป โดยสภาคองเกรสจะต้องโหวตร่างกฎหมายดังกล่าวให้ทันเส้นตายในเวลาเที่ยงคืนวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ หรือในวันเสาร์เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย ซึ่งหากร่างงบประมาณฉบับนี้ไม่ได้รับการลงนามจากปธน.ทรัมป์ก่อนกำหนดเส้นตาย ก็จะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐเผชิญกับการปิดหน่วยงานของรัฐ (ชัตดาวน์) เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ.