ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราค่าจ้างในอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,952.59 จุด ลดลง 86.38 จุด หรือ -1.23%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวานนี้ เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าเป็นการลงโทษจีนที่ได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยลบจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ โดยในระหว่างการซื้อขายเมื่อคืนนี้ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4217 ดอลลาร์ จากระดับ 4140 ดอลลาร์
ทั้งนี้ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการ BoE ส่งสัญญาณภายหลังการประชุมเมื่อวานนี้ว่า BoE อาจพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราค่าจ้างในอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า BoE อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.
สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า อัตราค่าจ้างเฉลี่ย ซึ่งรวมโบนัส ขยายตัว 2.8% ในเดือนม.ค. โดยเพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนธ.ค. และหากไม่นับรวมโบนัส อัตราค่าจ้างเดือนม.ค.ขยายตัว 2.6%
หุ้นฮัลมา ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม ดิ่งลง 2% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561 อันเนื่องมาจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ
หุ้นเรกคิทท์ เบนคีเซอร์ ดีดตัวขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทประกาศยุติการเจรจาเสนอซื้อธุรกิจดูแลสุขภาพจากไฟเซอร์