ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (26 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากสหรัฐ และ 14 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ประกาศขับนักการทูตรัสเซียออกนอกประเทศ โดยระบุว่ารัฐบาลรัสเซียอยู่เบื้องหลังการใช้สารพิษลอบสังหารอดีตสายลับของรัสเซีย นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ยังส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,888.69 จุด ลดลง 33.25 จุด หรือ -0.48%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศขับนักการทูตรัสเซียจำนวน 60 คนออกจากสหรัฐ พร้อมประกาศปิดสถานกงสุลรัสเซียในนครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ขณะที่สมาชิก EU รวม 14 ประเทศมีมติขับนักการทูตรัสเซียออกนอกประเทศเช่นกัน
การใช้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐ และ EU เป็นการตอบโต้การที่รัสเซียอยู่เบื้องหลังการใช้สารพิษลอบสังหารอดีตสายลับรัสเซียและลูกสาวของเขาที่ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ
นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ยังได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ โดยเมื่อคืนนี้ เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.4234 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4133 ดอลลาร์
หุ้นสเมอร์ฟิท คัปปา บริษัทบรรจุภัณฑ์และผลิตกระดาษของไอร์แลนด์ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ดิ่งลง 4.1% หลังจากบริษัทได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากอินเตอร์เนชันแนล เปเปอร์ ในวงเงิน 37.54 ยูโรต่อหุ้น
หุ้นเจดี สปอร์ตส์ แฟชั่น ร่วงลง 4.7% หลังจากมีรายงานว่า เจดี สปอร์ต แฟชั่น วางแผนเข้าซื้อกิจการบริษัทฟินิช ไลน์ ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งในสหรัฐ ในวงเงิน 558 ล้านดอลลาร์
หุ้นเฟรสนิลโล ซึ่งเป็นบริษัทเหมือนรายใหญ่ ดีดตัว 4.6% ขณะที่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 1.5% หลังจากนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงของหุ้นดังกล่าว