ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 มี.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนประกาศความพร้อมที่จะเปิดการเจรจากับสหรัฐเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะขยายเวลาในการดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.2% ปิดที่ 367.57 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,970.83 จุด เพิ่มขึ้น 183.57 จุด หรือ +1.56% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,115.74 จุด เพิ่มขึ้น 49.46 จุด หรือ +0.98% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,000.14 จุด เพิ่มขึ้น 111.45 จุด หรือ +1.62%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า จีนและสหรัฐควรจัดการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามทางการค้า พร้อมกับย้ำว่า จีนพร้อมที่จะเปิดตลาดสำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐ โดยจีนจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันต่อบริษัทในประเทศและบริษัทต่างชาติ และจีนจะไม่บังคับให้บริษัทต่างชาติทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่บริษัทท้องถิ่น รวมทั้งจีนจะคุมเข้มการปกป้องสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากนายเอิร์คคี ลีคาเนน ผู้ว่าการธนาคารกลางฟินแลนด์ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดนโยบายของ ECB ได้เปิดเผยกับสำนักข่าว CNBC ว่า ความเสี่ยงทางการเมืองอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน และอาจทำให้ ECB ตัดสินใจขยายระยะเวลาในการดำเนินโครงการซื้อพันธบัตร
หุ้นแกล็กโซสมิทไคล์น พุ่งขึ้น 4.9% หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงิน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในการซื้อธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจากกิจการร่วมทุนกับบริษัทโนวาร์ทิส โดยการซื้อธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้แกล็กโซสมิทไคล์น สามารถครอบครองผลิตภัณฑ์ที่รวมถึง ยาสีฟัน"เซ็นโซดายน์", ยาบรรเทาปวดลดไข้"พานาดอล" และเจลลดอาการปวด"โวลทาเรน"
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น หลังจากข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลาย โดยหุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นแองโกล อเมริกัน ดีดตัวขึ้น 1.7% และหุ้นริโอทินโต ปรับตัวขึ้น 1.8%
หุ้นเฟอร์กูสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ทะยานขึ้น 6.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนจ่ายเงินปันผลวงเงินรวม 1 พันล้านดอลลาร์ ภายหลังจากรายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงิน 2561
หุ้นดอยซ์ แบงก์ ดีดตัวขึ้น 1.1% หลังจากสื่อรายงานว่า ดอยซ์ แบงก์ อาจเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง
ส่วนหุ้น H&M Hennes & Mauritz ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าแฟชั่นสัญชาติสวีเดน ร่วงลง 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2561 ลดลง 44%