ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดร่วงหนักกว่า 500 จุดในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดศึกการค้ากับจีนรอบใหม่
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกระทบจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,932.76 จุด ลดลง 572.46 จุด หรือ -2.34% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,604.47 จุด ลดลง 58.37 จุด หรือ -2.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,915.11 จุด ลดลง 161.44 จุด หรือ -2.28%
การซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยกดดัน หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณารายการสินค้านำเข้าจากจีนที่สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้ขอให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ พิจารณาว่าการเก็บภาษีนำเข้าอีก 1 แสนล้านดอลลาร์นั้นเหมาะสมหรือไม่ภายใต้มาตรา 301 และหากเหมาะสม ก็ขอให้ระบุรายการสินค้าที่จะเรียกเก็บภาษีดังกล่าว
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพราะจีนได้ตอบโต้อย่างไม่เป็นธรรมต่อการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
ด้านโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเมื่อวานนี้ว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม และจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างครอบคลุม หากสหรัฐยังคงเดินหน้ากีดกันการค้าแต่เพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากตัวเลขจ้างงานที่น่าผิดหวัง ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนมี.ค. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 103,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 193,000 ตำแหน่ง หลังจากที่พุ่งขึ้น 326,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ.
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม เพาเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งได้ออกมากล่าวเมื่อคืนนี้ว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมทิศทางเงินเฟ้อ
หุ้นโบอิ้งและแคทเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็น 2 บริษัทที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ร่วงหนักถึง 3.06% และ 3.47% ตามลำดับ