ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในช่วงเปิดตลาดวันนี้ หลังจากที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการณ์ที่ออกมาดีกว่าการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางก็บรรเทาลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า การยิงขีปนาวุธโจมตีซีเรียอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
ณ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,520.09 จุด เพิ่มขึ้น 37.04 จุด หรือ 0.15%
ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ 3 แห่งของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการในวันนี้ ซึ่งล้วนออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลกำไรสุทธิประจำไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 35% แตะ 8.71 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.37 ดอลลาร์ต่อหุ้น จาก 6.45 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.65 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรกนั้น ออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 2.28 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ด้านรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% แตะ 2.85 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ เปิดเผยว่า ผลกำไรของธนาคารอยู่ที่ 4.62 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 13% จาก 4.09 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที 1.68 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.61 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ด้านรายได้อยู่ที่ 1.887 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% จาก 1.837 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และสอดคล้องใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.886 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค เปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 5.5% แตะ 5.94 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.06 ดอลลาร์ต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พุ่งขึ้นในช่วงก่อนเปิดตลาด แต่หลังเปิดตลาดได้ไม่นาน หุ้นธนาคารรายใหญ่กลับแกว่งตัวผันผวนและพลิกลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยหุ้นเจพีมอร์แกนลบ 0.75% หุ้นซิตี้กรุ๊ปลบ 0.67% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วง 1.78%
นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ในซีเรียและความเคลื่อนไหวทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในคืนนี้ด้วย