ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (18 เม.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้น IBM รวมทั้งรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขตของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ "Beige Book" ซึ่งระบุว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐได้แสดงความกังวลว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ยังคงปิดในแดนบวก เพราะได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเกือบ 3% เมื่อคืนนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,748.07 จุด ลดลง 38.56 จุด หรือ -0.16% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,295.24 จุด เพิ่มขึ้น 14.14 จุด หรือ +0.19% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,708.64 จุด เพิ่มขึ้น 2.25 จุด หรือ +0.08%
หุ้นอินเตอร์เนชันแนล บิสิเนส แมชีนส์ (IBM) ร่วงลงอย่างหนักถึง 7.5% และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด หลังจากผู้บริหารของ IBM ได้แสดงมุมมองที่ค่อนข้างเป็นลบต่อแนวโน้มธุรกิจ
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากรายงาน Beige Book ของเฟดซึ่งระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในหลายภาคส่วนที่ต้องมีการทำสัญญาด้านการค้า ซึ่งรวมถึงภาคการผลิต การเกษตร และการขนส่งนั้น ได้แสดงความวิตกกังวลว่า มาตรการเรียเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอาจจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียมในอัตรา 10% จากประเทศต่างๆ รวมถึงจีน โดยรายงานของเฟดระบุว่า หลังจากมีการประกาศมาตรการดังกล่าว ราคาเหล็กได้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่ภาคธุรกิจต่างก็คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าจะปรับตัวขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กและราคาสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งและช่วยหนุนดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 1.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 2.9% หุ้นมาราธอน ออยล์ ขยับขึ้น 0.4% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 2.3%
หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปิดตลาดขยับขึ้น 0.1% หลังจากที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งในระหว่างวัน ภายหลังจากที่ธนาคารได้เปิดเผยกำไรไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.45 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.25 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0363 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 4.8% หลังจากทางสายการบินเปิดเผยกำไรไตรมาส 1 อยู่ที่ 50 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 40 เซนต์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ 9.032 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน
หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลนส์ ดีดตัวขึ้น 2.9% หลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากรายงานข่าวที่ว่า เครื่องบินโดยสารของสายการบินเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส ได้ประสบเหตุเครื่องยนต์ระเบิดกลางอากาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย