ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากอ่อนค่าของเงินปอนด์ หลังจากนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ส่งสัญญาณว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 39.25 จุด หรือ +0.54% ปิดที่ 7,368.17 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์
ตลาดหุ้นลอนดอนได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังจากผู้ว่าการ BoE กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
การส่งสัญญาณดังกล่าวของผู้ว่าการ BoE ได้สกัดกระแสคาดการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ว่า BoE อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า แม้อัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของอังกฤษปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 1 ปีก็ตาม
ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ได้ช่วยหนุนราคาหุ้นของบริษัทข้ามชาติ โดยหุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ พุ่งขึ้น 1.6% และหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ดีดตัวขึ้น 1.4%
หุ้นเรกคิทท์ เบนคีเซอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าผู้บริโภค ร่วงลง 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1
หุ้นไชร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ ร่วงลง 3.9% หลังจากบริษัทอัลเลอร์แกน พีแอลซีเปิดเผยว่า ทางบริษัทยังไม่มีแผนที่จะเสนอซื้อกิจการของไชร์ ขณะที่บริษัททาเคดะ ฟาร์มาซูติคัล ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ทางบริษัทยังคงเดินหน้ายื่นข้อเสนอซื้อกิจการของไชร์ต่อไป แม้ว่าไชร์ได้ปฏิเสธข้อเสนอการเทคโอเวอร์กิจการมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์จากทาเคดะเมื่อไม่นานมานี้ก็ตาม
นักลงทุนยังคงจับตากระบวนการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากนายเจมส์ แมคคอร์แมค หัวหน้านักวิเคราะห์ระดับโลกของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Brexit และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรหลังช่วง Brexit จะส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ