ดัชนีดาวโจนส์ยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 500 จุด หลุดระดับ 24,000 จุด โดยนักลงทุนเทขายอย่างตื่นตระหนก หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งทะลุระดับ 3% ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นสวนทางตลาด จากการคาดการณ์ที่ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการของธนาคาร
ณ เวลา 01.34 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,906.91 จุด ลบ 542.68 จุด หรือ 2.22%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างดิ่งลงในวันนี้
หุ้น 3M ทรุดตัวลง 8.6% หลังจากที่บริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรของปีนี้
ดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในการซื้อขายช่วงแรก โดยได้ปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
บริษัทล็อคฮีด มาร์ติน, เวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น, แคทเทอร์ พิลลาร์ และโคคา โคล่า ต่างเปิดเผยตัวเลขกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์ร่วงลงสู่แดนลบในเวลาต่อมา หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งทะลุระดับ 3% ในวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557
ณ เวลา 20.49 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.001% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.171%
ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นเหนือระดับ 3.04% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2554
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนพากันเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้น, พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ในเดือนก.พ. จากความตื่นตระหนกต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวใกล้ระดับ 3%
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ
นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตร หลังสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานหลายปี จากการที่เฟด และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาด หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการใช้นโยบายผ่อนคลายดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเคยชินกับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และพากันเข้าซื้อหุ้นในตลาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นทั่วโลก เนื่องจากคาดว่าเฟดจะยังคงแทรกแซงตลาดต่อไปด้วยการเข้าซื้อพันธบัตร
อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดประกาศปรับลดงบดุล และลดวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก็ได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มดีดตัวขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะปรับตัวอยู่ในช่วง 3.0-3.5% ในปลายปีนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ขณะที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซา และถดถอยในที่สุด