ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) เพราะได้ปัจจัยบวกจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง หลังอังกฤษเผย GDP ไตรมาสแรกของปี 2561 ขยายตัวเพียง 0.1% ต่ำสุดรอบ 6 ปี ซึ่งการอ่อนค่าของเงินปอนด์นั้นช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติให้ปรับตัวขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,502.21 จุด เพิ่มขึ้น 80.78 จุด หรือ +1.09% ส่งผลให้ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 1.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสัปดาห์ที่ห้าติดต่อกัน
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 1 มีการขยายตัวเพียง 0.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2555 และลดลงจากระดับ 0.4% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
รายงานระบุว่า การชะลอตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของภาคก่อสร้าง และภาวะซบเซาในภาคการผลิต
ทั้งนี้ ตัวเลข GDP นั้นออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษน่าจะขยายตัวที่ 0.3% ในไตรมาสแรก และข้อมูลที่น่าผิดหวังนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ลดน้อยลงมากที่ธนาคารกลางอังกฤษจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า
ขณะเดียวกันข้อมูล GDP ได้ส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อภาวะตลาดหุ้นลอนดอน เพราะการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้น การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
โดย ณ เวลาหนึ่ง เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3785 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3915 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี และเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเจ็ดสัปดาห์
บริษัทข้ามชาติที่ปรับตัวขึ้นนั้นรวมถึง หุ้นเรกคิทท์ เบนคีเซอร์ บวก 1.9% หุ้นอเมริกัน โทแบกโก บวก 1.6% หุ้นดิอาจิโอ บวก 2.2%
ดีซีซี บริษัทผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกิจ พุ่ง 3.70% เร็นโทคิล อินนิเชียล บวก 3.20% และเบอร์เบอร์รี่ กรุ๊ป บวก 3.05%
ด้านรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ร่วง 1.47% แม้ธนาคารเปิดเผยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสามเท่าเป็น 792 ล้านปอนด์ก็ตาม
เน็กซ์ บริษัทร้านเสื้อผ้าและสินค้าภายในบ้านของอังกฤษ ลบ 0.65% โวดาโฟน กรุ๊ป ลดลง 0.59%