ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ยังสร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,710.98 จุด ลดลง 13.57 จุด หรือ -0.18%
การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบเบรนท์ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ และหุ้นบีพี ต่างก็พุ่งขึ้นราว 1.1%
หุ้นเซนทริกา ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ ปรับตัวขึ้น 1.4% หลังจากบริษัทได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการปีงบการเงิน 2561 จะเป็นไปตามเป้าหมาย
หุ้นกลุ่มกาสิโนพุ่งขึ้น หลังจากศาลฎีกาสหรัฐมีคำวินิจฉัยเห็นพ้องกับรัฐบาลของรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่ได้ออกกฎหมายในปี 2557 ให้การรับรองการพนันกีฬาในกาสิโน และสนามม้าในรัฐ โดยหุ้นวิลเลียม ฮิลล์ พุ่งขึ้น 11% และหุ้นแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ทะยานขึ้น 12%
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัท ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารของจีน เพื่อให้บริษัทสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐประกาศห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐขายสินค้าให้กับ ZTE เป็นเวลา 7 ปี เนื่องจาก ZTE ได้ส่งออกสินค้าให้กับอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร