ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 200 จุดในวันนี้ จากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาด
ณ เวลา 21.20 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,701.23 จุด ลดลง 198.18 จุด หรือ 0.8%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโฮม ดีโปท์ อิงค์ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
โฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่รายได้และยอดขายต่ำกว่าคาด
ทั้งนี้ โฮม ดีโปท์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 2.08 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.05 ดอลลาร์/หุ้น
อย่างไรก็ดี บริษัทมีรายได้ 2.495 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.515 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยอดขายของบริษัทเติบโต 4.2% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.4%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในวันนี้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้
"ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นต่อไป" นายอาร์ท โฮแกน นักวิเคราะห์จากบี ไรลีย์ เอฟบีอาร์ กล่าว
"ก่อนหน้านี้ นักลงทุนไม่แน่ใจว่าเฟดจะกล้าขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ แต่ตอนนี้ตลาดกำลังเริ่มยอมรับต่อความคิดที่ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย., ก.ย. และธ.ค. หลังจากที่ปรับขึ้นมาแล้วในเดือนมี.ค." นายโฮแกนกล่าว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นไม่หยุดในวันนี้ โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีทะยานขึ้นใกล้แตะระดับ 3.06% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 หลังสหรัฐเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ณ เวลา 20.34 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.059% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.189%
ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ดีดตัวสู่ระดับ 20.1 ในเดือนพ.ค. โดยสูงกว่าระดับ 15 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนมี.ค.
ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินตามการดีดตัวของราคาน้ำมัน
เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนเม.ย.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมี.ค