ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสหรัฐและจีนได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์เช่นกัน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,859.17 จุด เพิ่มขึ้น 80.38 จุด หรือ +1.03%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงหนุนสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงถือเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้และผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังดีดตัวขึ้นหลังจากนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐและจีนได้ตกลงที่จะระงับการทำสงครามการค้าชั่วคราว และสองฝ่ายยังได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้าในอนาคต
หุ้นแอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติให้ทางบริษัทวางจำหน่ายยา "Lokelma" ซึ่งเป็นยารักษาภาวะโปตัสเซียมในเลือดสูง (hyperkalemia)
หุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดทเต็ด แอร์ไลนส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ดีดตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทประกาศแผนเข้าซื้อกิจการสายการบินนอร์เวเจียน แอร์ ชัทเทิล ในวงเงิน 1.52 พันล้านปอนด์
หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ พุ่งขึ้น 3% หลังจากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทม์ส รายงานว่า มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ มีแนวโน้มที่จะประกาศปิดร้านค้าเพิ่มอีกหลายแห่ง ในระหว่างการประกาศผลประกอบการในวันพุธนี้
หุ้นไรอันแอร์ พุ่งขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในปีงบการเงิน 2560 เพิ่มขึ้น 10% อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทคาดการณ์ว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในวันข้างหน้า
หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอส ร่วงลง 1.3% หลังจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลง เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และจากการที่นักลงทุนชะลอการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยและหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า