ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 200 จุด ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และประเทศคู่ค้า หลังจากที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมต่อแคนาดา, เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ในวันนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันร่วงลงมากกว่า 1% ในวันนี้
ณ เวลา 21.29 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,483.30 จุด ลดลง 184.48 จุด หรือ 0.75%
สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมต่อแคนาดา, เม็กซิโก และ EU ในวันนี้ หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลวเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% ต่อแคนาดา, เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลาเที่ยงคืนนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือพรุ่งนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย
"เราจะยังคงดำเนินการเจรจากับแคนาดา, เม็กซิโก และ EU เพราะยังคงมีอีกหลายประเด็นที่เราต้องการแก้ไข" นายรอสส์กล่าว
นายรอสส์ได้นำคณะเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่ EU เพื่อแก้ไขข้อพิพาททางการค้าที่กรุงปารีสเมื่อวานนี้ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้ให้เวลาผ่อนผันการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมต่อแคนาดา, เม็กซิโก และ EU ในช่วงต้นปีนี้ ขณะที่ระยะเวลาผ่อนผันดังกล่าวจะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้
ราคาหุ้นดอยซ์แบงก์ที่มีการจดทะเบียนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงกว่า 6.5% ในวันนี้ และทรุดตัวลงเกือบ 40% นับจากต้นปีนี้ หลังจากที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นบัญชีธนาคารดอยซ์แบงก์ที่มีการดำเนินงานในสหรัฐอยู่ในกลุ่มธนาคารที่กำลังประสบปัญหาการเงิน
วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า เฟดได้ขึ้นบัญชีดอยซ์แบงก์อยู่ในกลุ่มธนาคารมีปัญหาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สก็ได้รายงานเช่นกันว่า บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ได้ขึ้นบัญชีดอยซ์แบงก์อยู่ในกลุ่มธนาคารที่มีปัญหา ซึ่งสถานะทางการเงินที่อ่อนแอจะคุกคามความอยู่รอดของทางธนาคาร
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 228,000 ราย
ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 169 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2512
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมี.ค.
การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย.ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านพลังงาน หลังราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น
หากมีการปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค.
ส่วนตัวเลขการออมของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 4.196 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. จากระดับ 4.457 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.
อัตราการออมลดลงสู่ระดับ 2.8% หลังจากอยู่ที่ระดับ 3.0% ในเดือนมี.ค.