ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกัน 2 วันทำการเมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นแอปเปิลที่ได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุนอย่างคึกคัก หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการ iOS 12 ในงานประชุมผู้พัฒนาทั่วโลก (WWDC) ซึ่งแอปเปิลได้จัดขึ้นเมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนพ.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,813.69 จุด เพิ่มขึ้น 178.48 จุด หรือ +0.72% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,746.87 จุด เพิ่มขึ้น 12.25 จุด หรือ +0.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,606.46 จุด เพิ่มขึ้น 52.13 จุด หรือ +0.69%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหุ้นแอปเปิลปิดบวก 0.8% หลังจากทะยานขึ้นทำนิวไฮในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากข่าวการเปิดตัวระบบปฏิบัติการ iOS 12 ซึ่งมีลูกเล่นในการแก้ปัญหาเสพติดมือถือของผู้ใช้ iPhone โดยแอปเปิลได้ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการดังกล่าวในงาน WWDC ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองซานดิเอโกของสหรัฐเมื่อวานนี้ ท่ามกลางผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนหลายหมื่นที่คนเข้าร่วมงานในครั้งนี้
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ทะยานขึ้น 3.1% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนหุ้นไมโครซอฟท์ ดีดขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทประกาศเข้าซื้อกิจการ GitHub ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์
หุ้นกลุ่มค้าปลีกพุ่งขึ้นหลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เอเวอร์คอร์ ไอเอสไอ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยหุ้นทาร์เก็ต พุ่งขึ้น 4.9% หุ้นโคห์ล คอร์ป พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นเมซี อิงค์ ทะยานขึ้น 4.3% และหุ้นนอร์ดสตรอม ดีดขึ้น 2.7%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.05% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.3% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.6% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ปรับตัวลง 3.1% และหุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลง 2.04%
นักลงทุนจับตาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป (EU), แคนาดา และเม็กซิโก หลังจากที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ประกาศมาตรการตอบโต้เช่นกัน ส่วนการเจรจาการค้ารอบที่ 3 ระหว่างสหรัฐและจีนที่จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่ได้ข้อยุติแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงเกาะติดการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนาย คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อดูว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือได้หรือไม่
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 12-13 มิ.ย. โดยมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 2 ในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 0.8% ในเดือนเม.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 0.5% โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อเครื่องบิน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนเม.ย., ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 1/2561, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนเม.ย.