ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งของอังกฤษ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,765.79 จุด เพิ่มขึ้น 62.08 จุด หรือ +0.81%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ซึ่งระบุว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% และเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกทะยานขึ้น 3.9% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และสูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีกหลายแห่งระบุว่า ผู้บริโภคเพิ่มการจับจ่ายสินค้าและอาหารในช่วงก่อนพิธีเสกสมรสของเจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล ในเดือนที่แล้ว
หุ้นโรลส์รอยซ์ โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 6.5% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 4,600 รายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.ขยายตัว 6.8% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนเม.ย.ที่ขยายตัว 7% ทั้งนี้ หุ้นอันโตฟากัสตา ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวผันผวน ซึ่งรวมถึงหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นแองโกล อเมริกัน