ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นหลังจากที่ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า กรรมการบางคนของ BoE ได้สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,556.44 จุด ลดลง 70.96 จุด หรือ -0.93%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ลงมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการประชุมครั้งนี้ด้วยคะแนนเสียง 6-3 ซึ่ง 3 เสียงดังกล่าวมีความเห็นให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.75%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบเบรนท์เมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า รัสเซียและซาอุดิอาระเบียอาจสนับสนุนให้มีการปรับเพิ่มเพดานการผลิตในการประชุมกลุ่มโอเปกที่กรุงเวียนนาในวันนี้ โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.1% และหุ้นบีพี ลดลง 0.9%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อในตลาดหุ้นลอนดอนยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ โดยล่าสุดกระทรวงการคลังของอินเดียประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถั่วอัลมอนด์จากสหรัฐในอัตรา 20% และเก็บภาษีนำเข้าวอลนัทจากสหรัฐในอัตราสูงถึง 120% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ส.ค. นอกจากนี้ อินเดียยังประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์เหล็กของสหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากอินเดียก่อนหน้านี้
ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตร, เหล็ก และอลูมิเนียมจากสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าราว 2.8 พันล้านยูโร หรือ 3.24 พันล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ เพื่อตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% ที่นำเข้าจาก EU ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา