ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) จากการที่นักลงทุนคาดหวังว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ จะผ่อนคลายข้อจำกัดในการลงทุนจากจีน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.7% ปิดที่ 379.97 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,621.69 จุด เพิ่มขึ้น 83.77 จุด หรือ +1.11% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,327.20 จุด เพิ่มขึ้น 45.91 จุด หรือ +0.87% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,348.61 จุด เพิ่มขึ้น 114.27 จุด หรือ +0.93%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 3% อันเนื่องมาจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสหรัฐ โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 3.4% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 2.8% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 8.1%
หุ้นวิทเบรด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอสต้า คอฟฟี่ และพรีเมียร์ อินน์ ทะยานขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี ดีดตัวขึ้น 3.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเจ เซนส์บิวรี ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equal-weight"
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง นำโดยหุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วงลง 1.7%