ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพร่วงลงอย่างหนัก หลังจากมีรายงานว่า อเมซอนได้เข้าซื้อกิจการพิลแพค ซึ่งเป็นบริษัทขายยาออนไลน์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวได้ออกมาส่งสัญญาณว่า สหรัฐยังคงเดินหน้าปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,216.05 จุด เพิ่มขึ้น 98.46 จุด หรือ +0.41% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,716.31 จุด เพิ่มขึ้น 16.68 จุด หรือ +0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,503.68 จุด เพิ่มขึ้น 58.60 จุด หรือ +0.79%
นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร หลังจากที่หุ้นทั้งสองกลุ่มร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ โดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นเน็ตฟลิกส์ เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นแอปเปิล ดีดขึ้น 0.7% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 0.8% และหุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 0.2%
ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้น หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 1.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 0.6%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพร่วงลง หลังจากมีข่าวว่า อเมซอนได้เข้าซื้อกิจการพิลแพค ซึ่งเป็นบริษัทขายยาออนไลน์ โดยหุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาทั่วสหรัฐและเพิ่งได้รับการนำเข้าคำนวณดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันอังคารนั้น ร่วงลงอย่างหนักถึง 9.9% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ร่วงลง 1.3% หุ้นซีวีเอส เฮลธ์ ดิ่งลง 6.1% หุ้นไรท์ เอด คอร์ป ดิ่งลง 11.1% และหุ้นเอ็กซ์เพรส สคริปส์ โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 1.4%
หุ้นกลุ่มธุรกิจขนส่งพัสดุร่วงลง เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า อเมซอนไม่เพียงแต่จะรุกธุรกิจสุขภาพเท่านั้น แต่ยังวางแผนที่จะสยายปีกเข้าสู่ธุรกิจขนส่งพัสดุด้วยเช่นกัน โดยหุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) และหุ้นเฟดเอ็กซ์ ร่วงลง 2.3% และ 1.3% ตามลำดับ
หุ้นสตาร์บัค ปรับตัวลง 2.6% หลังจากมีรายงานว่า นายสก็อตต์ มอว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของสตาร์บัคจะเกษียณอายุงานในช่วงสิ้นเดือนพ.ย.ปีนี้
นักลงทุนยังคงจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีน ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว ขณะที่นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน พร้อมกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการให้คณะกรรมการ CFIUS เป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่บริษัทจีนควรจะถูกระงับการเข้าถือครองบริษัทในสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับการขยายตัวของ GDP ประจำไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.0% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.3% และต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.2%
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 3% ในไตรมาส 2 ขณะที่การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนฟื้นตัว โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการปรับลดภาษีวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 220,000 ราย ขณะที่ตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน