ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) หลังจากมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 2 ปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงดัชนีภาคการผลิตเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,307.18 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด หรือ +0.15% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,726.71 จุด เพิ่มขึ้น 8.34 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,567.69 จุด เพิ่มขึ้น 57.38 จุด หรือ +0.76%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.1% หุ้นอเมซอน เพิ่มขึ้น 0.8% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดขึ้น 1.7% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้น Nvidia ทะยานขึ้น 2.3% และหุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 3.9%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.2 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 58.7 ในเดือนพ.ค. ซึ่งปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนเม.ย. และเมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนพ.ค.
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้า โดยขณะนี้แคนาดาได้เริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเป็นวงเงิน 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากแคนาดา ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 2.94 แสนล้านดอลลาร์ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป
ด้านรัฐบาลจีนได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวน 659 รายการจากสหรัฐ ในอัตรา 25% มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 545 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น โดยมีเป้าหมายที่จะตอบโต้สหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บสินค้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หลังจากมีรายงานว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย. โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.1% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.7% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 1.1% หุ้นมาราธอน ออยล์ และหุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงก็ปรับตัวลง 1%
หุ้นเทสลา มอเตอร์ ร่วงลง 2.3% หลังจากบริษัทประกาศการบรรลุเป้าหมายการผลิตรถยนต์รุ่น Model 3 จำนวน 5,000 คันต่อสัปดาห์ แต่นักลงทุนกังวลว่า สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการเงินของบริษัท
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ หลังจากที่ตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 188,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าวันศุกร์นี้ตามเวลาไทย
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค., ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดุลการค้าเดือนพ.ค.