ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดเช่นกัน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,573.09 จุด ลดลง 20.20 จุด หรือ -0.27%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดปรับตัวลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์แข็งค่านั้น มาจากรายงานผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอสซึ่งเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้นแตะ 55.1 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน และปรับตัวขึ้นจากระดับ 54.0 ในเดือนพ.ค.
ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย.ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวที่ระดับ 54.0 ถึงแม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับการแยกตัวของสหราชอาณาจักรจากสหภาพยุโรป (Brexit) และเสถียรภาพของรัฐบาล
นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาสถานการณ์ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
หุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากมีรายงานว่า บริษัท วอลแคน อินเวสเมนท์ ของนายเอนิล อาการ์วัล มหาเศรษฐีชาวอินเดีย กำลังพิจารณาแผนการเข้าซื้อธุรกิจของแองโกล อเมริกา ในแอฟริกาใต้
หุ้นเจ เซนส์บิวรี พุ่งขึ้น 3% หลังจากเจ เซนส์บิวรี ได้ยอมรับข้อเสนอการควบรวมธุรกิจจากบริษัทแอสดา ในวงเงิน 3.5 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 4.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ