ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 21.01 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,773.48 จุด ลดลง 146.18 จุด หรือ 0.59%
หุ้นทุกกลุ่มต่างปรับตัวลงในตลาดวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน
หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ และโบอิ้งร่วงลงมากกว่า 1% เนื่องจากอยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนในต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ
ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพ เช่น อินเทล และแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส ต่างก็ปรับตัวลงมากกว่า 0.5%
รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันนี้ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยคาดว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) กล่าวว่า การที่จีนใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า และไม่ดำเนินนโยบายการค้าอย่างเป็นธรรม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงมีคำสั่งให้ USTR เริ่มกระบวนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10%
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินสูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ การตัดสินใจล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐยังมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมากกว่า 800 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐ หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
แถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า รัฐบาลจีนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะใช้มาตรการที่จำเป็น และจีนขอประท้วงการตัดสินใจของสหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่นี้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในคืนนี้นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค.
การปรับตัวขึ้นของดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 หลังจากเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนพ.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายปี
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก