ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,591.96 จุด ลดลง 100.08 จุด หรือ -1.30%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 4.8% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 3.9% หุ้นอันโตฟากัสตา ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ ร่วงลง 3.1% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดิ่งลง 3.1% เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากข่าวการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของซาอุดิอาระเบีย และข่าวลิเบียเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตและส่งออกอีกครั้ง โดยหุ้นบีพี ดิ่งลง 3.2% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.2%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ปรับตัวลง 0.5% หลังจากบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เพิ่มวงเงินในการซื้อหุ้นในบริษัทสกาย สู่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าข้อเสนอของคอมแคสต์ที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าวงเงินเดิมที่ฟ็อกซ์เคยเสนอที่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.2559
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับตัวลง 0.9% และ 2.2% ตามลำดับ
นักลงทุนจับตาการเมืองของอังกฤษอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอังกฤษหลังจากการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ Brexit ได้ประกาศลาออก เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านแผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ โดยเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมองว่า นายกฯเมย์ยอมอ่อนข้อต่อสหภาพยุโรป (EU) มากเกินไป และง่ายเกินไป