ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่แบงก์ชาติอังกฤษประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 76.98 จุด หรือ 1.01% ปิดที่ 7,575.93 จุด
หุ้นธนาคารบาร์เคลย์ ปรับตัวลง 2.7% หุ้นสายการบินอีซี่เจ็ท ร่วงลง 3.74% หุ้นริโอ ทินโต ร่วง 3.60% หุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 3.08%
หุ้นโรลส์-รอยซ์ พุ่ง 7% หุ้นเซจ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ เพิ่มขึ้น 3.2%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์
แผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% นั้น สูงกว่าแผนการที่สหรัฐเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใส
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ในการประชุมนโยบายการเงินของ BoE ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว BoE ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
BoE ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดในเดือนส.ค.2559 ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ หลังจากที่สหราชอาณาจักรลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นับจากนี้ไป BoE จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป