ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นมากกว่า 150 จุดในวันนี้ ขานรับการประกาศผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน
ส่วนดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาด ดิ่งลงแตะระดับ 10.52 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.
ณ เวลา 21.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,658.51 จุด เพิ่มขึ้น 156.33 จุด หรือ 0.61%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น ขณะที่หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ยังคงดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกเผชิญภาวะตึงตัว
นอกจากนี้ การที่ซาอุดิอาระเบียลดการผลิตน้ำมันในเดือนก.ค. และการที่หลายประเทศเผชิญคลื่นความร้อนในระยะนี้ ก็ได้เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันขึ้น
ณ เวลา 18.36 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.00% สู่ระดับ 69.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
การประกาศผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนช่วยหักล้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
บริษัทในดัชนี S&P 500 ราว 80% ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 มีกำไรสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวถือเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ที่ FactSet เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2551
รัฐบาลจีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ โดยจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.