ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลาและหุ้นอัลฟาเบท ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,628.91 จุด พุ่งขึ้น 126.73 จุด หรือ +0.50% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,883.66 จุด เพิ่มขึ้น 23.99 จุด หรือ +0.31% และดัชนี S&P500ปิดที่ 2,858.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.05 จุด หรือ +0.28%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นเทสโลาซึ่งทะยานขึ้น 11% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ได้ทวีตข้อความว่า เขากำลังพิจารณานำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์ โดยข้อความดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาทะยานขึ้น นอกจากนี้ ราคาหุ้นเทสลายังพุ่งขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า กองทุนบริหารความมั่งคั่งของซาอุดิอาระเบียได้เข้าซื้อหุ้นเทสลาจำนวน 3-5% คิดเป็นวงเงิน 1.9-3.1 พันล้านดอลลาร์
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดขึ้น 0.7% หุ้นอเมซอน เพิ่มขึ้น 0.8% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ขยับขึ้น 0.6% และหุ้นอินเทล ปรับตัวขึ้น 0.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.958% ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน ปรับตัวขึ้น 0.4% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดขึ้น 0.8% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ขยับขึ้น 0.3%
หุ้นดีนฟู้ดส์ ทะยานขึ้น 15% ขณะที่หุ้นออฟฟิศ ดีโปท์ พุ่งขึ้น 14% หลังจากทั้ง 2 บริษัทเปิดเผยกำไรและยอดขายที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2
หุ้นฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 0.7% หลังจากบริษัทประกาศว่ากำลังหาพันธมิตรในการผลิตและจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กสำหรับการใช้ในอินเดียและตลาดเอเชียแห่งอื่นๆ โดยการแตกไลน์ผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กของฮาร์ลีย์-เดวิดสันมีขึ้น ท่ามกลางปัญหายอดขายตกต่ำในสหรัฐ ขณะที่ฐานลูกค้าเดิมเริ่มมีอายุมากขึ้น
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้เช่นกัน โดยบริษัทในดัชนี S&P 500 ราว 80% ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 มีกำไรสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวถือเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ที่ FactSet เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2551
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย.