ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (8 ส.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,776.65 จุด เพิ่มขึ้น 58.17 จุด หรือ +0.75%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ทั้งนี้ เงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังจากนายเลียม ฟ็อกซ์ รมว.การค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ระบุก่อนหน้านี้ว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่อังกฤษจะไม่มีการทำข้อตกลง Brexit เนื่องจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มีท่าทีที่ไม่ต้องการประนีประนอมกับอังกฤษ โดยนายฟ็อกซ์ กล่าวว่า โอกาสที่อังกฤษจะประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) อยู่ที่ "60-40"
หุ้นพรูเดนเชียล พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเกินคาดในไตรมาส 2 อันเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของธุรกิจประกันในภูมิภาคเอเชีย
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มการเงินนั้น หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ดีดตัวขึ้น 1% และหุ้นสแตนดาร์ด ไลฟ์ เอเบอร์ดีน พุ่งขึ้น 1.9%
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบและรถยนต์
การดำเนินการดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งเมื่อวานนี้ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.