ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตค่าเงินลีราของตุรกี ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างหนัก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.4% ปิดที่ 379.70 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,163.01 จุด ลดลง 195.86 จุด หรือ -1.58% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,305.22 จุด ลดลง 98.19 จุด หรือ -1.82% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,497.87 จุด ลดลง 113.77 จุด หรือ -1.49%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วงลงของค่าเงินตุรกีและผลกระทบที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถยนต์โดยสาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้เพิ่มอัตราภาษีต่อเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากตุรกีขึ้นอีกสองเท่า โดยอัตราภาษีเหล็กนำเข้าจากตุรกีจะอยู่ที่ 50% และอลูมิเนียมอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ลงนามในคำสั่งให้ปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากสหรัฐเป็น 120% และขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็น 140% ขณะที่ขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 60% นอกจากนี้ ตุรกียังได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องสำอาง ข้าว และถ่านหินจากสหรัฐด้วย
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 3% อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดในสหรัฐ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 5.2% หุ้นบีพี ดิ่งลง 1.9% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.9% และหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 3.3%
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ปรับตัวลงนั้น หุ้นโวดาโฟน ร่วงลง 2.1% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ดิ่งลง 2.5% หุ้นพรูเดนเชียล ร่วงลง 2.7% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปรับตัวลง 1.1%