ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วงลงในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพักฐานในคืนนี้ หลังจากที่พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อวานนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
ที่ผ่านมา การประชุมเศรษฐกิจประจำปีซึ่งจัดขึ้นโดยเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้นั้น จะมีการหารือกันในประเด็นเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐ และระหว่างประเทศ โดยจะมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางมาร่วมการประชุม
ณ เวลา 19.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลบ 66 จุด หรือ 0.26% สู่ระดับ 25,526 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดทะยานขึ้นเกือบ 400 จุดเมื่อคืนนี้ ขานรับรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ รวมทั้งตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่ลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2
นายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวยืนยันว่า สหรัฐและจีนจะรื้อฟื้นการเจรจาการค้าในเดือนนี้ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การเจรจาได้ข้อตกลงที่ดีสำหรับสหรัฐ
"รัฐบาลจีนจะต้องไม่ประเมินต่ำเกินไปต่อความมุ่งมั่น และความเต็มใจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการขจัดมาตรการที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี รวมทั้งการกำหนดโควตา, การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี" นายคุดโลว์กล่าว
"ขอให้รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางครั้งการเจรจาก็สามารถให้ผลดีกว่าที่คาดไว้" เขากล่าว
ทั้งนี้ จีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า
กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า คณะผู้แทนของจีน ซึ่งนำโดยนายหวัง โชเหวิน รมช.พาณิชย์จีน มีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐในเดือนนี้ เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐ ซึ่งนำโดยนายเดวิด มัลพาส ปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 23 ส.ค.หรือไม่ ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐจะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ขู่ตอบโต้สหรัฐเช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาค่าเงินลีราของตุรกี ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการดิ่งลงของค่าเงินลีราต่อธนาคาร BBVA ของสเปน, ธนาคาร UniCredit ของอิตาลี และธนาคาร BNP Paribas ของฝรั่งเศส
การดิ่งลงของค่าเงินลีราจะส่งผลกระทบต่อธนาคารยุโรปที่ได้เข้าไปทำธุรกิจในตุรกี โดย ECB วิตกว่าการทรุดตัวของค่าเงินจะทำให้ภาคธุรกิจของตุรกีผิดนัดชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศ เนื่องจากจะทำให้ลูกหนี้ในตุรกีต้องชำระหนี้ในมูลค่าของลีราที่สูงขึ้น โดยหนี้สกุลเงินต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40% ของสินทรัพย์ในภาคธนาคารของตุรกี
ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ระบุว่า ภาคธนาคารของสเปนได้ปล่อยสินเชื่อแก่ตุรกีคิดเป็นวงเงิน 8.33 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารฝรั่งเศสปล่อยสินเชื่อ 3.84 หมื่นล้านดอลลาร์ และธนาคารอิตาลีปล่อยสินเชื่อ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์