ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าแทบไม่ขยับในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวแคบในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง
ณ เวลา 20.13 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลบ 7 จุด หรือ 0.03% สู่ระดับ 25,710 จุด
นักลงทุนจับตาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยวันนี้เป็นวันที่สหรัฐและจีนต่างประกาศบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันรอบที่ 2 ในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจกำลังทวีความรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟด ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 24 ส.ค. ขณะที่หัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
ที่ผ่านมา การประชุมเศรษฐกิจประจำปีซึ่งจัดขึ้นโดยเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้นั้น จะมีการหารือกันในประเด็นเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐ และระหว่างประเทศ โดยจะมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางมาร่วมการประชุม
ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองสหรัฐยังคงกดดันตลาด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า ตลาดหุ้นจะดิ่งลงอย่างหนัก ถ้าหากว่าเขาถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง
"ถ้าผมถูกถอดถอน ผมก็คิดว่าตลาดจะทรุดตัวลง และทุกคนจะจนลงอย่างมาก" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวถึงผลงานของเขาในการลดกฎระเบียบในตลาด รวมทั้งการปรับลดอัตราภาษี ซึ่งได้ช่วยหนุตลาดขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมือง หลังจากที่ผู้ใกล้ชิดต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย นับตั้งแต่นายไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความที่ยอมสารภาพผิดในคดีอาญาทั้ง 8 คดี และนายพอล มานาฟอร์ต อดีตผู้จัดการทีมหาเสียงของปธน.ทรัมป์ ถูกศาลสหรัฐตัดสินจำคุกในข้อหาก่อกวนพยานในคดีที่รัสเซียอาจมีส่วนก้าวก่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 โดยปรับตัวลง 2,000 ราย สู่ระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 215,000 ราย