ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ ขานรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งแสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ณ เวลา 21.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,789.70 จุด เพิ่มขึ้น 132.72 จุด หรือ 0.52%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ตามการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน ขณะที่หุ้นเชฟรอนดีดตัวขึ้นมากที่สุด
นายพาวเวลกล่าวในวันนี้ว่า เขาคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เฟดมองหาจุดสมดุลในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไป
"ตามที่รายงานการประชุมของเฟดระบุไว้ ถ้าหากว่ารายได้และการจ้างงานยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยของเฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไปถือว่ามีความเหมาะสม" นายพาวเวลระบุในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟด ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันนี้
นายพาวเวลยังกล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดว่าเฟดจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อ
นายพาวเวลระบุว่า เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด ขณะที่การจ้างงานอยู่ในระดับสูง
นายพาวเวลคาดการณ์ว่า การใช้จ่ายที่แข็งแกร่งของภาคครัวเรือน, ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ, การสร้างงานในระดับสูง, รายได้ที่เพิ่มขึ้น และการที่รัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่สดใสต่อไป
เนื้อหาในสุนทรพจน์ของนายพาวเวลส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงการดำเนินการของเฟดในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้นในทศวรรษ 1970 ซึ่งเฟดได้เรียนรู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อและอัตราว่างงานจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ในการกล่าวสุนทรพจน์วันนี้ นายพาวเวลไม่ได้ระบุถึงการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่อนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่ปลื้มต่อการที่นายพาวเวลปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เฟดต่อไป หากเฟดยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งนับตั้งแต่ที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนม.ค.ปีที่แล้ว เทียบกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
นอกจากนี้ เฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าในระยะนี้
ทางด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้
"ดิฉันได้ปรับตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวเป็น 2.75-3% สำหรับปีนี้ ดิฉันคิดว่านโยบายการคลังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในแง่ของการเพิ่มอุปสงค์" นางเมสเตอร์กล่าว
นอกจากนี้ นางเมสเตอร์ยังระบุว่า แผนการของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นสิ่งที่มีความเหมาะสม
ส่วนนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เขาไม่ต้องการให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้
"ถ้าเป็นผม ผมจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย และจะปรับนโยบายตามข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ โดยผมยังไม่เห็นแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ผมจึงไม่คิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่เราต้องดำเนินการล่วงหน้า" นายบูลลาร์ดกล่าว
นักลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจมากนักต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนเป็นเวลา 2 วันได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยไม่มีความคืบหน้าที่สำคัญใดๆ
"เราได้เสร็จสิ้นการหารือ 2 วันกับเจ้าหน้าที่จีน โดยมีการแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีความเป็นธรรม, สมดุล และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน" นางลินเซย์ วอลเตอร์ส โฆษกทำเนียบขาว กล่าว
นางวอลเตอร์สกล่าวเสริมว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้หารือกันเกี่ยวกับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และนโยบายถ่ายโอนเทคโนโลยี
เมื่อวานนี้ เป็นวันที่สหรัฐและจีนต่างประกาศบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันรอบที่ 2 ในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้น
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.7% ในเดือนก.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อเครื่องบิน
อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานดีดตัวขึ้น 7.2% ในเดือนก.ค.