ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาในประเด็นที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป EU (Brexit) หลังจากมีรายงานว่า ยุโรปเตรียมเสนอให้อังกฤษได้รับสถานะการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,516.03 จุด ลดลง 47.18 จุด หรือ -0.62%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์แข็งค่านั้น มาจากการที่นายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการถอนตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) กล่าวว่า ยุโรปเตรียมเสนอให้อังกฤษได้รับสถานะการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน
นักวิเคราะห์มองว่า คำกล่าวของนายบาร์นิเยร์เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างอังกฤษและ EU กรณี Brexit โดยการที่ EU ยื่นข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นการผ่อนคลายจากเงื่อนไขเดิมที่ EU ระบุว่าอังกฤษจะต้องตัดสินใจเลือกความสัมพันธ์ในอนาคตในรูปแบบที่มีอยู่ในขณะนี้ และบ่งชี้ว่า EU ได้ลดท่าทีแข็งกร้าวต่อข้อเสนอจากอังกฤษเพื่อเร่งกระบวนการเจรจา ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 8 เดือนก่อนถึงวันที่อังกฤษจะถอนตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการ
หุ้นโวดาโฟน ร่วงลง 3.1% หลังจากมีรายงานว่า โวดาโฟน ฮัทชิสัน ออสเตรเลีย (วีเอชเอ) และทีพีจี เทเลคอม ประกาศแผนควบรวมกิจการเพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ที่มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยบริษัทที่ควบรวมกันแล้วจะใช้ชื่อว่า ทีพีจี เทเลคอม ลิมิเต็ด และจะจดทะเบียนในออสเตรเลีย