ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในด้านโยบายการค้าของสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศเดินหน้าแผนการเรียกเก็บภาษีวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน พร้อมขู่ว่าจะถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO)
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 3.10 จุด หรือ -0.80% ปิดที่ 382.26 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,364.06 จุด ลดลง 130.18 จุด หรือ -1.04% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,406.85 จุด ลดลง 71.21 จุด หรือ -1.30% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,432.42 จุด ลดลง 83.61 จุด หรือ -1.11%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศหลายแห่งซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการเดินหน้าตามแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวานนี้อีกว่า จะถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) หากทาง WTO ไม่ปฏิบัติต่อสหรัฐให้ดีกว่านี้ โดยผู้นำสหรัฐมองว่า ประเทศของตนถูก WTO เอาเปรียบมาเป็นเวลาหลายปี
การออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวของผู้นำสหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างนโยบายด้านการค้าของทรัมป์ และระบบการค้าที่เปิดกว้างซึ่งทาง WTO ได้ดูแลอยู่
ในขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการเจรจาในประเด็นที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป EU (Brexit) และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดาซึ่งยังคงหาข้อยุติไม่ได้
หุ้นวิทเบรด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอสต้า คอฟฟี่ และพรีเมียร์ อินน์ ทะยานขึ้น 14% หลังโคคาโคล่าประกาศเตรียมเข้าซื้อกิจการร้านกาแฟคอสต้า คอฟฟี่จากบริษัทในมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์