ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (5 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา รวมทั้งแนวโน้มการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.4% แตะที่ระดับ 378.19 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,040.46 จุด ลดลง 169.75 จุด หรือ -1.39% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,260.22 จุด ลดลง 82.48 จุด หรือ -1.54% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,383.28 จุด ลดลง 74.58 จุด หรือ -1.00%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า โดยตัวแทนเจรจาการค้าของสหรัฐและแคนาดาได้เริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ครั้งใหม่เมื่อวานนี้ที่กรุงวอชิงตัน หลังจากที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุไว้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งกันในหลายประเด็น
นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า แคนาดาจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐในการเจรจา NAFTA ฉบับใหม่ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐและเม็กซิโกสามารถเดินหน้าต่อไปโดยไม่ต้องมีแคนาดาในการทำข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่
นอกจากนี้ สหรัฐเตรียมทำสงครามการค้ารอบใหม่กับจีนในสัปดาห์นี้ โดยแหล่งข่าวระบุว่า ปธน.ทรัมป์กล่าวกับคนสนิทของเขาว่า เขาจะทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในวันนี้
หุ้นดับเบิลยูพีพี ซึ่งเป็นบริษัทสื่อรายใหญ่ ดิ่งลง 4.1% หุ้นเบอร์เบอร์รี่ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแฟชั่นชั้นนำ ร่วงลง 3.8% ขณะที่หุ้นโคคา-โคล่า เอชบีซี ผู้ผลิตขวดบรรจุเครื่องดื่มให้กับบริษัทโคคา-โคล่า ปรับตัวลง 3.6%
หุ้นไบเออร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาและเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรของเยอรมนี ร่วงลง 3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2 พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2561 นอกจากนี้ ไบเออร์ยังได้รับผลกระทบจากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการที่ทางบริษัทได้เข้าซื้อกิจการบริษัทมอนซานโต ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์พืชของสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุวว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.4 ในเดือนส.ค. จากระดับ 54.2 ในเดือนก.ค. โดยการดีดตัวขึ้นของดัชนี PMI ได้รับผลบวกจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน