ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) หลังจากที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันถึง 3 วัน อย่างไรก็ดี เมื่อประเมินความเคลื่อนไหวทั้งสัปดาห์แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.08% แตะที่ระดับ 373.77 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,252.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.38 จุด หรือ +0.16% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,959.63 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด หรือ +0.04% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,277.70 จุด ลดลง 41.26 จุด หรือ -0.56%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อการซื้อขายเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนส.ค. โดยเพิ่มขึ้น 201,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 191,000 ตำแหน่ง
ส่วนตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 10 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.4% จากระดับ 0.3% ในเดือนก.ค. และเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2552 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7%
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากฝั่งสหรัฐ มักมีอิทธิพลต่อบรรยากาศการซื้อขายในฝั่งยุโรป
อย่างไรก็ดี การซื้อขายยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ
หุ้นดอยซ์แบงก์ตลาดหุ้นเยอรมนี ปรับตัวลดลง 1.45% หลังมีข่าวผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากจีนเตรียมขายหุ้นของทางธนาคารในสัดส่วน 7.6%
หุ้นอีเลียด ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของฝรั่งเศส ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.34% ส่วนหุ้นสวีดิช ออร์แฟน ไบโอวิทรัม บริษัทเภสัชภัณฑ์ของสวีเดน ปรับตัวลดลง 8.30%