ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า ขานรับความหวังที่ว่า อังกฤษจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับการแยกตัวออกจาก EU (Brexit) ภายใน 6-8 สัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,279.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.02%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้น หลังจากนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาของฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์นี้
ทั้งนี้ นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า "ผมคิดว่าถ้าเรามองในแง่ความเป็นจริง เราจะสามารถบรรลุข้อตกลงในขั้นแรกของการเจรจาสนธิสัญญา Brexit ภายในเวลา 6-8 สัปดาห์ และเมื่อพิจารณาเงื่อนไขของเวลาสำหรับกระบวนการให้สัตยาบันในสภาสามัญชนของอังกฤษ รวมทั้งในรัฐสภายุโรป และคณะมนตรียุโรป เราจะต้องทำข้อตกลงก่อนเริ่มเดือนพ.ย. ซึ่งผมคิดว่าเป็นไปได้"
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หุ้นลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป ดีดตัวขึ้น 1.77% ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ และหุ้นมอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ตส์ พุ่งขึ้น 1.76% และ 1.62% ตามลำดับ
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นเฟรสนิลโล ดิ่งลง 2.6% และหุ้นเกลนคอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองข้ามชาติ ร่วงลง 1.76%