ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์และยูโรยังสร้างแรงกดดันต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,096.41 จุด ลดลง 27.92 จุด หรือ -0.23% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,348.87 จุด ลดลง 3.70 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.10 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.03%
ส่วนดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.1% ปิดที่ 378.31 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้
นักลงทุนจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถ้าหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
หุ้น SAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับภาคธุรกิจเยอรมนี ร่วงลง 1.3% หุ้นลินด์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติด้านเคมีภัณฑ์ ดิ่งลง 2.3% ขณะที่หุ้นเฮงเคล ร่วงลง 2.2%
หุ้นเอชแอนด์เอ็ม ทะยานขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท
สำหรับข่าวความคืบหน้าที่มีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ยูโรโซนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในวงกว้าง นอกจากนี้นายดรากีกล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา และตุรกียังไม่ได้ลุกลามมาถึงยูโรโซนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี นายดรากีเตือนว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความวิตกทางด้านเศรษฐกิจ