ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปที่ต่างก็ปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนในระดับหนึ่ง หลังจากมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจา Brexit
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.10 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.03%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้
นักลงทุนจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถ้าหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน หลังจากนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) กล่าวว่า การเจรจาระหว่าง EU และอังกฤษในประเด็น Brexit ยังคงดำเนินไปโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าถ้อยแถลงของนายบาร์นิเยร์เป็นการส่งสัญญาณท่าทีที่ผ่อนคลายของ EU ในประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงก่อนถึงกำหนดเส้นตายการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU อย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นเดือนมึ.ค.ปีหน้า
หุ้น SSE ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสัญชาติสก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 3.55% ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นเอฟราส และหุ้นคาร์นิวาล ปรับตัวขึ้น 2.48% และ 2.36% ตามลำดับ