ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่นับตั้งแต่เดือนม.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นแอปเปิล อิงค์ และจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากไม่รุนแรงมากเท่ากับที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ณ เวลา 21.14 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,616.43 จุด เพิ่มขึ้น 210.67 จุด หรือ 0.80% ส่วนดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ดีดตัวขึ้น 1.5%
หุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์ พิลลาร์ทะยานขึ้นในการซื้อขายช่วงแรก โดยหุ้นของบริษัททั้งสองถือเป็นตัวชี้วัดการค้าของสหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในอัตราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า
ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราภาษี 5-10% คิดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับ 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพี มอร์แกน เชส กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในขณะนี้ เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งกันในทางการค้า ไม่ใช่การทำสงครามการค้า
"มันไม่ใช่สงครามการค้า ผมขอเรียกว่า การทะเลาะเบาะแว้งทางการค้า" นายไดมอนกล่าว
"รัฐบาลสหรัฐ ประธานาธิบดีของเรา ทำถูกต้องแล้วที่ได้หยิบยกประเด็นการทำการค้าที่ยุติธรรมขึ้นมาเจรจากับจีน แต่ผมจะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปในการแก้ไขปัญหานี้" เขากล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 201,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 210,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 2,250 ราย สู่ระดับ 205,750 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512
สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.ย. มีจำนวนลดลง 55,000 ราย อยู่ที่ระดับ 1.645 ล้านราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่อง ลดลง 20,750 ราย สู่ระดับ 1.691 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2516
นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง