ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในจีนนั้น ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดร่วงลงกว่า 0.5% หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,743.50 จุด เพิ่มขึ้น 86.52 จุด หรือ +0.32% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.67 จุด ลดลง 1.08 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,986.96 จุด ลดลง 41.28 จุด หรือ -0.51%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.2% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.8% ส่วนดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3%
ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากทั้งสหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ไม่มากเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ ขณะที่รัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีของทั้งสหรัฐและจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดคลายความกังวลข้อพิพาทการค้า โดยหุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการค้าของสหรัฐ เนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศนั้น พุ่งขึ้น 1.3% และ 0.9% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.2% ส่วนหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.2% และหุ้น 3M ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นแมคโดนัลด์ พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสให้กับผู้ถือหุ้นเพิ่มอีก 15%
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ ปรับตัวขึ้น 2.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังได้แรงหนุนจากการที่บริษัทประกาศปรับลดจำนวนพนักงานลง 3% ตามแผนการกระตุ้นรายได้ของบริษัท
หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.2% ก่อนที่คอมแคสต์จะร่วมประมูลซื้อกิจการบริษัทสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป โดยนอกเหนือจากคอมแคสต์แล้ว ยังมีบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดร่วงลง หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.8% หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.08% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 1.5% และหุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 1.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.1% หุ้นไมโครอน เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 2.9% หุ้นอินเทล ปรับตัวลง 1.4% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 4.5% หุ้นสแนป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสแนปแชท ลดลง 0.7%
หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.04% หลังจากเวลส์ ฟาร์โก ประกาศปลดพนักงานราว 10% คิดเป็นจำนวน 26,500 คน ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยนายทิม สโลน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเวลส์ ฟาร์โก กล่าวว่า การที่ธนาคารปรับลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้ มีสาเหตุจากลูกค้าหันไปนิยมใช้ระบบธนาคารออนไลน์ และเป็นไปตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของทางธนาคาร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 53.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของภาคบริการ แม้ว่าภาคการผลิตปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่