ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนขานรับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนี Stoxx Europe ปิดบวก 0.4% แตะที่ระดับ 384.29 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,490.23 จุด เพิ่มขึ้น 122.91 จุด หรือ +1.67% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,494.17 จุด เพิ่มขึ้น 42.58 จุด หรือ +0.78% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,430.88 จุด เพิ่มขึ้น 104.40 จุด หรือ +0.85%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากการที่นักลงทุนมองว่า ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจจะไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากสหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเอชเอสบีซี พุ่งขึ้น 2.2% ขณะที่หุ้นอัลลิอันซ์ ดีดตัวขึ้น 1.4%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 2.2%
หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหารทางออนไลน์ ร่วงลง 4.8% หลังจากมีรายงาน อูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารผ่านทางแอปพลิเคชัน กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทเดลิเวอรู ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งอาหาร
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน อยู่ที่ระดับ 54.2 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 54.5 ในเดือนส.ค.
ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของเยอรมนี ปรับตัวลดลงแตะ 55.3 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.6 ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ มาร์กิตยังระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศส ปรับตัวลดลงแตะ 53.6 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 21 เดือน จากระดับ 54.9 ในเดือนส.ค.